โดย ภาวิดา เจริญเมือง
อ.ท่าแซะ ชุมพร – เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลโดยตรงต่อการเกษตร เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางรายได้ การพึ่งพาผลผลิตจากพืชเพียงชนิดเดียวจึงส่งผลกระทบต่อหลายครัวเรือน แต่สำหรับ ประเสริฐ และ นาลยา กิตติเวทยานุสรณ์ เกษตรกรสมาชิกของโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัสนั้น การทำเกษตรด้วยแนวทางเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) คือคำตอบในการรับมือกับความไม่แน่นอน และเป็นรากฐานที่มั่นคงให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทุก ๆ เช้า ประเสริฐและนาลยามักจะเดินตรวจตราสวนกาแฟโดยเฉพาะช่วงนี้ที่ผลผลิตกาแฟขณะนี้ยังไม่สุก การตรวจเช็คคุณภาพและปัญหาโรคต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ
สวนกาแฟที่เขียวชอุ่มราวป่าขนาดย่อม รายล้อมไปด้วยพืชหลากหลายที่ล้วนมีความเกี่ยวโยงและทำหน้าที่เกื้อหนุนกัน ทั้งต้นหมากที่ช่วยบังลมให้ต้นกาแฟไม่หักโค่น ทุเรียนพันธุ์ชะนีจากลำต้นสูงชะลูดช่วยเป็นร่มเงา หญ้าแฝกที่ยึดหน้าดินแน่น และถั่วบราซิลที่ช่วยดึงไนโตรเจนและกักเก็บความชื้นลงสู่พื้นดิน ทุกอาณาบริเวณในสวนร่มรื่นและมีชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีของเกษตรกรผู้เป็นเจ้าของ
“ทุกอย่างในสวนมีความเกี่ยวข้องกัน” นาลยากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เราใช้วิธีปลูกพืชแบบผสมผสาน นอกจากกาแฟที่ทำเป็นรายได้หลักแล้ว ก็ปลูกต้นขี้เหล็กไว้ไล่แมลง พอใบร่วงก็กลายเป็นปุ๋ย หมากก็กันลม ทุเรียนเราก็ปลูกไว้ แต่ไม่ได้เน้น พอให้มีรายได้เสริมช่วงรอเก็บกาแฟ”
ก่อนจะมีสวนสวยอุดมสมบูรณ์อย่างที่เห็นวันนี้ ทั้งประเสริฐและนาลยาต่างก็ผ่านอะไรมามากมายไม่ต่างจากเกษตรกรคนอื่น ๆ ทั้งคู่ย้ายถิ่นฐานมาจากจังหวัดนครราชสีมา ก่อนจะมาก่อร่างสร้างตัวทำอาชีพเกษตรกร ผ่านการลองผิดลองถูก เรียนรู้และลงมือทำ เก็บหอมรอมริบจนมีบ้านและพื้นที่เพาะปลูกกว่า 20 ไร่เป็นของตัวเอง
ประเสริฐเล่าว่า อุปสรรคของการปลูกกาแฟในช่วงเริ่มต้นคือการต้องรับมือกับสภาพดินที่เสื่อมโทรม เมื่อดินไม่มีคุณภาพ จะปลูกอะไรก็ไม่ได้ผลผลิตออกมาตามที่หวัง แต่แล้วก็มีจุดเปลี่ยน เมื่อ เนสท์เล่ เข้ามาอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรรายย่อยเรื่องการปลูกกาแฟอย่างครบวงจร ตั้งแต่การจัดเตรียมพื้นที่ การปลูกและดูแลต้นกาแฟช่วงแต่ละระยะเวลาการเติบโต การผสมปุ๋ย ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพก่อนส่งขาย ผลผลิตกาแฟจึงมีคุณภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ในวันที่ราคากาแฟตกต่ำ เนสท์เล่ก็ยังคอยให้คำแนะนำและสนับสนุนอยู่เสมอ
ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปีนั้นเอง วิถีเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูได้เปลี่ยนชีวิตของสองเกษตรกรไปโดยสิ้นเชิง ความพยายามของทั้งคู่นำไปสู่การยอมรับนับถือในระดับประเทศ จากเดิมที่ไม่สามารถปลูกอะไรได้ตามต้องการ เพราะสภาพของดินที่เสื่อมโทรมและขาดธาตุอาหาร ในวันนี้ ที่ดินตรงนั้นคือรากฐานความสำเร็จของแปลงกาแฟโรบัสต้าที่ทำให้ทั้งคู่ได้รับรางวัล สุดยอดกาแฟไทยประจำปี พ.ศ. 2568 (Thai Coffee Excellence 2025) ประเภท GAP-Regenerative ซึ่งมอบให้แก่เกษตรกรผู้นำแนวคิดเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูมาปฏิบัติใช้จริง
การดูแลดินและธรรมชาติเป็นแนวทางที่ให้ความเคารพต่อทุกชีวิตในระบบนิเวศ และความเคารพนั้นสะท้อนกลับมาเป็นความอุดมสมบูรณ์ที่จับต้องได้ เบื้องหลังผลลัพธ์ของสวนกาแฟที่เป็นที่น่าพึงพอใจนั้น ประเสริฐและนาลยาลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเองอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาดิน ปลูกพืชผสมผสานเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลง และไม่ใช้ยาฆ่าแมลง “เราต้องการให้กาแฟและผลผลิตอื่น ๆ ของเราปลอดภัย คนกินก็สบายใจ คนทำก็สบายใจ” นาลยากล่าว
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่มาจากปัจจัยภายนอกก็ยังคงอยู่รอบตัวไม่ไปไหน ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าเกษตรที่ผันผวน ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาลจนได้ผลผลิตน้อยกว่าที่ตั้งเป้า เมื่อถามถึงมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเช่นนี้ ประเสริฐตอบอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตนก็จะไม่หยุดเรียนรู้ พร้อมเปิดรับทุกโอกาสและแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคและปรับตัวได้
“โลกร้อน ปรับตัวยังไง ก็คงต้องเรียนรู้กับมันต่อไป เขามีอะไรให้ทำก็ทำหมด มีโอกาสอบรม ไปดูงานก็ไปหมด ต้องกล้าคิดกล้าทำ ถ้าเราไม่หยุดเรียนรู้ ยังไงเราก็อยู่ได้” ประเสริฐกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อารีย์ ใจดี ผู้ประสานงานภาคสนามโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัสกล่าวเสริมว่า “โครงการของเราส่งเสริมเกษตรกรให้ทำเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูช่วยให้คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน” เมื่อเกษตรกรในโครงการมีจิตสำนึกที่ดีต่อธรรมชาติ ผลตอบแทนคือทรัพยากรล้ำค่าที่ทำให้คนมีกินมีใช้ตลอดทั้งปี■