ภาพความทรงจำของ ดร.ธิเบศร์ จันทวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท กลุ่มภัทร จำกัด (มหาชน) เล่าถึงความทรงจำวัยเด็กครั้งติดตามคุณพ่อไปทำงานในโรงสกัดน้ำมันปาล์ม ตลอดเส้นทางเขามองเห็นต้นปาล์มเขียวชอุ่มที่ปลูกเป็นแถวยาวสุดสายตา และมีชาวบ้านขับรถกระบะบรรทุกทะลายปาล์มเต็มคันมาส่งขายที่โรงสกัดและจุดรับซื้อตามชุมชน ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่า “ต้นปาล์มให้อะไร” กับเกษตรกรในชุมชน นอกจากน้ำมันที่แม่ใช้ทอดไข่ให้เขาและน้อง ๆ ทานในมื้อเช้า แต่นี่เป็นอาชีพหลักที่เกิดเป็นรายได้ของคนในชุมชนนับร้อยที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของกระบี่และอีกหลายจังหวัดภาคใต้ของไทย
เมื่อเติบโตขึ้น ดร.ธิเบศร์ต้องย้ายไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ความผูกพันกับสวนปาล์มอาจจะเลือนลางลงไปบ้าง แต่การได้เติบโตท่ามกลางสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และธุรกิจของคนในชุมชน ได้กลายเป็น “ต้นทุนชีวิต” ที่มีคุณค่าและหล่อหลอมเขาให้เป็นนักธุรกิจสวนปาล์ม และดำรงตำแหน่งสำคัญ คือ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ดร.ธิเบศร์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้สานต่อโรงสกัดน้ำมันปาล์มในนามกลุ่มภัทรเท่านั้น แต่เขาคือผู้ลงมือร่วมในการเริ่มต้นพัฒนากระบวนการและผลักดันให้ธุรกิจครอบครัวเติบโต และเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคนรุ่นใหม่ผู้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน
ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย การเติบโตที่รวดเร็วของการผลิตปาล์มน้ำมันโดยขาดการรับผิดชอบต่อบริบทสังคมและสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จากการรุกพื้นที่ป่าธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าพรุ ป่าชายเลน การใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลงอย่างไม่สมเหตุผล ทำให้เกิดปัญหาสภาวะน้ำปนเปื้อน และยังมีประเด็นความขัดแย้งเรื่องการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และประเด็นการลักลอบแรงงานผิดกฎหมาย
การยกระดับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ปาล์มน้ำมันและการผลิตน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
ช่วงที่ประเทศไทยและทั่วโลกเผชิญกับภาวะโควิด– 19 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ ดร.ธิเบศร์ มีโอกาสนำความรู้ด้านวิศวกรรม สาขา อุตสาหการที่ร่ำเรียนมาประกอบกับความชอบด้านไอที นำมาบริหารจัดการนวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืนของโรงสกัดน้ำมันปาล์ม โดยเริ่มเข้ามาเป็นสมาชิกกับโครงการ การผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (Sustainable Palm Oil Production and Procurement on Climate Mitigation and Action project: SPOPP) ในปีพ.ศ. 2564
“การตัดสินใจเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงคือการสร้างโอกาสให้กับห่วงโซ่การผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เราได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจาก GIZ พนักงานของโรงสกัดได้รับการอบรมเสริมสร้างศักยภาพ ทำให้ทุกคนมีความรู้ ความชำนาญ และที่สำคัญมีความเข้มแข็งและมั่นใจ สามารถส่งต่อความรู้ไปยังเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นเรียนรู้ร่วมกันกับเกษตรกรเพื่อ การจัดการสวนปาล์มและสิ่งแวดล้อมโดยรอบอย่างมีแบบแผนและยั่งยืน” ดร.ธิเบศร์ กล่าว
เมื่อโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Sustainable Palm Oil Production and Procurement on Climate Mitigation and Action project: SPOPP CLIMA) เริ่มดำเนินการในปีพ.ศ. 2567 เขาไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับโครงการ เพื่อต่อยอดการบริหารจัดการที่มีอยู่
ผู้บริหารรุ่นสองของกลุ่มภัทร คาดหวังว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการ SPOPP CLIMA จะช่วยยกระดับความยั่งยืนของกลุ่มเกษตรกรในโครงการฯ ปัจจุบันกลุ่มภัทรผ่านการรับรอง “เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพรินท์ขององค์กร” (Carbon Footprint for Organization: CFO) สะท้อนความมุ่งมั่นในการวัดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่กระบวนการผลิต และความต้องการพัฒนาแนวทางการจัดการของเสียและน้ำเสียตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.ธิเบศร์กล่าวเพิ่มเติมว่า กำลังมองหาความเป็นไปได้ในการนำ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเก็บข้อมูล (Data Collection) ที่โครงการ SPOPP CLIMA ส่งเสริม เพื่อเสริมศักยภาพเกษตรกรและโรงสกัดน้ำมันปาล์มมาปรับใช้กับห่วงโซ่การผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันเปาล์ม นำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกและเปิดโอกาสเชื่อมโยงตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศและต่างประเทศ ตนเชื่อว่าแนวทางนี้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และสร้างความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวได้
“ทุกระดับของห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย กลุ่มวิสาหกิจ โรงสกัดน้ำมันปาล์มไปจนถึงผู้รับซื้อและผู้บริโภค จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน” ศราวร กล่าว
วัตถุประสงค์ของโครงการ SPOPP CLIMA เพื่อเป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรรายย่อยผลิตปาล์มน้ำมันในการจัดการสวนปาล์มแบบคาร์บอนต่ำของประเทศไทย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กิจกรรมทางการเกษตรส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ในขณะเดียวกันภาคการเกษตรยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้งที่รุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ส่งผลต่อผลิตผลทางการเกษตร การส่งเสริมให้ภาคเกษตรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเรียนรู้ที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน
องค์กรเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมันได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ให้ดำเนินโครงการ SPOPP CLIMA ผ่านความร่วมมือของกรมวิชาการเกษตรเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันรายย่อย และห่วงโซ่การผลิตได้รับความรู้เพิ่มเติม มีเครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพรินท์จากทะลายปาล์มสด และข้อปฏิบัติการจัดการสวนเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มและพัฒนาภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มของไทย
ศราวร ในฐานะตัวแทนรุ่นที่สอง เชื่อมั่นว่าโรงสกัดน้ำมันปาล์มสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยผู้ประกอบการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน เกษตรกรในโครงการ SPOPP CLIMA จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ดักจับและจัดเก็บคาร์บอน รวมถึงส่งเสริมการปลูกพืชร่วมในสวนปาล์มอย่างถูกวิธี เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งระบบ
“การส่งเสริมให้ทุกฝ่ายรู้จักปรับตัวรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง คือกุญแจสำคัญสู่การผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน ทั้งเกษตรกรรายย่อยและเจ้าหน้าที่โรงสกัดน้ำมันปาล์มเป็นกลไกหลักที่ช่วยขับเคลื่อน จึงควรได้รับการอบรมและพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติได้อย่างทันสถานการณ์”
ศราวร ผู้จัดการฝ่ายวิชาการ เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งแผนกมาตรฐาน RSPO ของโรงสกัดตรังน้ำมันปาล์ม เขาและทีมมุ่งมั่นผลักดันให้ทั้งกลุ่มเกษตรกรรายย่อยและโรงงานได้รับการรับรองมาตรฐานสากล RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องบริหารจัดการทั้งทรัพยากรมนุษย์ การรวมกลุ่มเกษตรกร การจัดการสวนปาล์ม ระบบบันทึกข้อมูล และการตรวจประเมินภายในอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ยังต้องทำงานร่วมกับชุมชน เคารพสิทธิแรงงานและสิทธิชุมชน พร้อมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับแนวทางของมาตรฐาน RSPO อย่างครบถ้วน
ปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรรายย่อยภายใต้การดูแลของโรงสกัดที่เข้าร่วมโครงการได้รับการรับรองมาตรฐานRSPO แล้ว 6 กลุ่ม และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะไปพร้อมกับโรงสกัด ภายใต้โครงการ SPOPP CLIMAเพื่อนำเครื่องมือวัดคาร์บอนฟุตพรินท์ ไปปฏิบัติใช้ในอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในช่วงสามปีของการดำเนินโครงการ และต่อเนื่องภายหลังเสร็จสิ้นโครงการไปแล้ว
โครงการ SPOPP CLIMA จะนำเครื่องมือคำนวณคาร์บอนฟุตพรินท์มาใช้ในการเก็บข้อมูลและประเมินผล พร้อมพัฒนาหลักสูตร “การจัดการสวนแบบคาร์บอนต่ำ” เพื่อฝึกอบรมวิทยากรจากโรงสกัดและกลุ่มเกษตรกร ให้นำความรู้ไปใช้จริงและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม มีการจัดทำแปลงสาธิตเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับสมาชิกโครงการ โดยเจ้าหน้าที่จะประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทะลายปาล์มสดก่อนและหลังการปรับปรุงการจัดการสวน เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์อย่างชัดเจน แนวทางเหล่านี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของห่วงโซ่การผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน ■