ในแต่ละปี ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับปัญหาฟางข้าวหลายล้านตัน ที่เหลือทิ้งภายหลังการเก็บเกี่ยวและ ถูกเผาทำลายในพื้นที่เพาะปลูก ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลพิษทางอากาศและหมอกควันปกคลุมในวงกว้าง แม้ว่าการเผาจะเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วสำหรับเกษตรกร แต่ในความเป็นจริง
ฟางข้าวถือเป็นทรัพยากรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ทั้งยังช่วยส่งเสริมแนวทางการเกษตรที่ยั่งยืน และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ชนบท
“โครงการนำร่องการใช้ประโยชน์ฟางข้าวอย่างยั่งยืน” (Piloting Sustainable Uses of Rice Straw) ภายใต้ การสนับสนุนจากกองทุน Study and Expert Fund (SFF) ได้ร่วมมือกับสำนักเลขาธิการอาเซียนและ พันธมิตรในภูมิภาค เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจด้านการใช้ประโยชน์จากฟางข้าวที่ส่งผลดีต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม ล่าสุด โครงการได้เผยแพร่ รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เพื่อประเมินทางเลือกเชิงปฏิบัติแทนการเผาในที่โล่ง และนำเสนอ รูปแบบธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนการจัดการฟางข้าวทั่วภูมิภาคอาเซียนให้เกิดมูลค่าอย่างยั่งยืน รายงานฉบับนี้ยังสามารถใช้เป็นคู่มือสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร ในการออกแบบมาตรการลดการเผาและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรทางการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ
การศึกษาดังกล่าวได้เก็บข้อมูลภาคสนามในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีรายงานพื้นที่ การเผาเศษวัสดุทางการเกษตรมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2566 – 2568 เกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็ก และระบบการปลูกพืชที่หลากหลาย ได้เข้าร่วมทดลองแนวทางใหม่ในการจัดการฟางข้าวอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้บทเรียนและผลลัพธ์ที่ได้จากกลุ่มพื้นที่นำร่องนี้ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระดับภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อ เนื่อง
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ปัญหาการเผาฟางข้าวไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีและแนวทางที่ ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดรูปแบบผสมผสาน เช่น การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือการเพาะเห็ดฟาง มีความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ และสามารถสร้างประโยชน์ได้ทันที ขณะที่แนวทางอื่น ๆ เช่น การใช้ฟางข้าวในอุตสาหกรรม เยื่อกระดาษ วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ หรือพลังงานชีวภาพขั้นสูง ยังต้องการการทดลองนำร่อง และการลงทุน เพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดและสร้างความเชื่อมั่นแก่เกษตรกร
รายงานฉบับนี้นำเสนอข้อเสนอแนะหลัก 5 ประการสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอาเซียน ได้แก่
- ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลและเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมฟางข้าว
- นำร่องรูปแบบการจัดการฟางข้าวหลังการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะด้านการเก็บรักษา การอัดแน่น และการขนส่ง
- ริเริ่มและขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากฟางข้าว
- สร้างความตระหนักรู้ ผ่านการจัดอบรมและพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการฟางข้าวอย่างยั่งยืน
- จัดตั้งเวทีความร่วมมือหลายภาคส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และขับเคลื่อนการลงมือปฏิบัติ
ซาทวินเดอร์ ซิงห์ (Satvinder Singh) รองเลขาธิการอาเซียนด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กล่าวไว้ในคำนำของรายงานว่า “โครงการนี้ไม่เพียงแต่เน้นย้ำความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม แต่เป็น กลยุทธ์เชิงรุกในการพัฒนาแนวทางแก้ไขเชิงปฏิบัติที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เราสามารถลดมลพิษและ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ พร้อมไปกับการเสริมพลังให้เกษตรกรของเราด้วยวิถีการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งจะเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยรวมได้”
รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ฉบับนี้ได้เผยแพร่อย่างเป็นทางการในที่ประชุมคณะทำงานด้านพืชของอาเซียน ครั้งที่ 32 (ASEAN Sectoral Working Group on Crops: ASWGC) เมื่อวันที่ 9–11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ณ เมือง South Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและพันธมิตรผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมอภิปราย เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาการเผาฟางข้าว ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่เกษตรกรและภาคธุรกิจ
โครงการนำร่องการใช้ประโยชน์ฟางข้าวอย่างยั่งยืน (Piloting Sustainable Uses of Rice Straw: SFF Rice Straw) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดยกระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ) และได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากสำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat: ASEC) และดำเนินการโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ ประจำประเทศไทย) โดยรายงานการศึกษาความเป็นไปได้นี้พัฒนาร่วมกับโครงการความร่วมมือไทย-เยอรมันด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มงานพลังงานชีวมวล
อ่านรายงานฉบับเต็ม (ภาษาอังกฤษ) ได้ที่: Piloting Sustainable Use Cases of Rice Straw – A Feasibility Study






